ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น (ฌาน) เล่มที่ 1

แปลและเรียบเรียงโดย...." ธีรทาส"

บทที่ 3.

...........หลังจากนี้แล้ว ทั้งสามท่านก็ออกเดินนทางไปเมืองโซกาย ระหว่างทางกลางป่าผ่านห้วยเหวมาสามวัน ได้ยินเสียง เ-เ-อ๋ เ-เ-อ๋ มองไปเห็นช้างป่าเดินตรงมาข้างหน้า ท่านตี้หุย และชอเจ็งตกใจ ! รีบปีนขึ้นไปเกาะอยู่บนคบไม้ ส่วนท่านซิ้งทง ผู้ชราอายุ 60 เศษ ไม่สามารถที่จะปีนป่ายตามขึ้นไปเพื่อหลบช้างป่าได้ แต่ใจก็ยังมีสตินึกถึงพระกวนอิมมหาโพธิสัตว์อยู่ พอได้ยินเสียง เ-เ-อ๋ เ-เ-อ๋ อีกเจ็ดแปดครั้ง ขาก็อ่อน ! ใจก็สั่นนั่งฟุบลงไปที่โคนต้นไม้ พอสำรวมสติได้ก็ไม่รีรอ ค่อย ๆ แอบต้นไม้สาวเถาวัลย์โหนตัวลงไปยังเชิงผา ผลกรรมที่ตนเคยสร้างไว้มากมายมันตามมาทัน เถาวัลย์เกิดขาดตัวตกกลิ้งลงไปฟาดก้อนหินแน่นิ่งนอนสลบหมดลมปราณ พอฝูงช้างเดินผ่านไปแล้ว เพื่อนร่วมเดินทางก็รีบลงมาช่วยแต่มันก็สายไปเสียแล้ว เพื่อนร่วมเดินทางก็รีบลงช่วยแต่มันก็สายไปเสียแล้ว ท่านตี้หุย และท่านชอเจ็ง นั่งน้ำตาไหลซึมอยู่ข้างศพปลงอนิจจัง ความไม่เที่ยงของสังขาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย วนเวียนอยู่ชาติแล้วชาติเล่า เมื่อไรจะพ้นกันเสียทีหนอ แล้วก็สวดมนต์แผ่เมตตาให้แก่ดวงวิญญาณท่านภิกษุซิ้งทง ขอจงไปสู่ภพสุคติได้บรรลุมรรคผลนิพพานด้วยเทอญ ด้วยความห่วงอาลัยในเพื่อน ทั้งสองท่านจึงสวดมนต์หน้าศพอยู่สองวัน พอย่างเข้าวันที่สามตอนบ่ายขณะกำลังหลับตาสวดมนต์อย่างตั้งใจอยู่นั้น ได้ยินเสียงครางเบา ๆ โอ๊ย ! โอ๊ย ! ออกมาจากศพ ท่านชอเจ็ง ตกตลึง ! ทำท่าจะเผ่นหนี ! ท่านตี้หุยก็ใจไม่ดี จึงรีบดึงจีวรเพื่อนไว้เงี่ยหูฟัง ได้ยิน น้ำ - น้ำ - โอ๊ย - โอย…! ทั้งสองท่านจึงแน่ใจว่า ยังไม่ตาย จึงค่อย ๆ ยื่นมือไปเปิดผ้าคลุมศพไว้เห็นเพื่อนยังหายใจแขม่ว ! แขม่ว ! จึงร้องเรียก ท่านซิ้งทงครับ ! เป็นไงบ้างครับ ? ท่านตอบว่า โอ๊ย ! โอย ! น้ำ - น้ำ - หน่อย ! ท่านตี้หุย รีบหยิบกระบอกน้ำรินหยอดลงไปในปาก พอดื่มแล้วหายใจดัง ฮื่อ ! ฮื่อ ! นัยน์ตาก็เบิกขึ้นมา ดูค่อยมีราศีว่าเป็นคนขึ้นมาหน่อย จากนี้แล้วก็ช่วยกันหายาสมุนไพรในป่ามาประคบเยียวยากันตามมีตามเกิดตลอดเวลา 15 วัน จึงหายพูดจาได้ตามปกติ ท่านชอเจ็งจึงถามขึ้นว่า "ขณะตายนั้นวิญญาณท่านไปทางไหน ?" ท่านซิ้งทง ตอบว่า " แย่ ! แย่….. !" ท่านตี้หุย ชักตื่นเต้น ! เร่งขอให้ท่านเล่าต่อไปเร็ว ๆ หน่อย ท่านซิ้งทง จึงเล่าว่า "ก่อนหน้าที่จะตกจากผานั้น ใจได้นึกถึงพระกวนอิมมหาโพธิสัตว์ให้ท่านช่วย แล้วอาศัยเมื่อก่อนบวช มีเพื่อนเคยมาขอเรี่ยไรเงิน เพื่อจะเอาไปพิมพ์หนังสือธรรมแจกเป็นธรรมทาน เสียอ้อนวอนเพื่อนไม่ได้จึงยอมสละเงินไปสองอีแปะ ด้วยกุศลทานอันนี้เอง จิตก่อนดับจากร่างนึกถึงบุญที่ทำไว้ได้ก็เลยเป็นนิมิตนำทางไปถึงสวรรค์ชั้นสุขาวดีทันที พอได้เห็นประตูเมืองสวรรค์จิตใจก็ตลึง ! ในความสวยสดงดงาม มันช่างดื่มด่ำ ดึงดูดทำให้ใจลอยหลงเคลิ้ม ๆ เหมือนตอนวัยหนุ่มพบสาวงาม ที่บานประตูสร้างด้วยทองคำก่ำกนกลงยาฝังเพชรมณีนิลจินดา มีแสงประกายแววระยับสลับสีสรรค์ครบนพเก้า ที่กำแพงนั้นใช้ก้อนมรกตก้อนโต ๆ มาแกะสลักเป็นแผ่นอิฐยึดเกาะเกี่ยวติดเป็นทิวแถวด้วยเงินยวง เรียงรายสลับซ้อนกันมองไปจนสุดสายตา พอได้เห็นเข้าก็ชุ่มชื่นในดวงจิต ทำให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองมนุษย์ทันที แล้วฉันก็จะเดินไปเข้าประตูเทพผู้รักษาประตูเมืองไม่ยอมให้ฉันเข้าไป บอกว่าฉันไม่มีบุญพอที่จะเข้าไปอยู่ในเมืองนี้ได้ แล้วเทพองค์นั้นก็ ชี้บอกให้ฉันไปยังสวรรค์ชั้นอื่น ๆ ต่อไปอีก พอฉันไปถึง เทพผู้รักษาประตูของแต่ละชั้นก็พูดทำนองแบบเดียวกันกับชั้นที่แล้ว ๆ มา อีก ทีนี้ฉันก็ต่อว่า ว่าเมืองสวรรค์นี่ก็ไม่ยุติธรรมเช่นเดียวกับเมืองมนุษย์เหมือนกัน สมัยฉันอยู่เมืองมนุษย์นั้น ฉันได้สละเงินพิมพ์หนังสือธรรมแจกเป็นทานไปตั้งสองอีแปะแล้ว ทำไมท่านถึงยังพูดว่าไม่มีบุญอีกด้วยเล่า ? ฝ่ายเทพก็ตอบว่า ก็เพราะว่าสองอีแปะของท่านนั่นซิ ! จึงได้มาชมแค่ประตูเมืองสวรรค์ ฉันจึงขอร้องให้เขาช่วยกรุณาไปบอกเทพชั้นผู้ใหญ่หน่อยเถิด ! ขอให้อนุญาตอยู่เป็นพิเศษสักคนเถิด ! ว่าแล้วเทพชั้นผู้ใหญ่ต้องออกมาพบฉัน แล้วท่านได้พูดว่า ตั้งแต่สร้างเมืองสวรรค์มาก็ยังไม่เคยมีใครมาตำหนิว่าเมืองสวรรค์ไม่ยุติธรรมเหมือนกับท่านเลย เอาละ ! ผมจะรับฟังความของท่านเป็นครั้งแรก ทีนี้ต้องร้อนถึงเทพผู้ใหญ่อีกหลายท่าน ที่ต้องมาประชุมหารือกันถึงเรื่องของฉัน ได้ถกเถียงกันแล้วลงมติด้วยการไม่อนุญาตให้อยู่ได้ มีเทพอีกท่านหนึ่งเกิดความสงสารมาก เห็นว่าฉันเป็นพระ จึงบอกให้หวนกลับไปคิดถึงสมัยที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ว่านอกจากได้ทำบุญไว้สองอีแปะนี้แล้ว ยังได้สร้างบุญอะไรไว้อีกบ้างไหม ? ฉันนิ่งนึกอยู่สักครู่หนึ่ง พอนึกได้ก็บอกว่าสมัยยังหนุ่มอยู่เคยทำอีแปะตกหายไปหนึ่งอัน แล้วเที่ยวค้นหาอยู่หลายวันก็ไม่พบ ทีหลังรู้ว่าคนขอทานเก็บได้ไป ฉันก็ตามไปทวงคืน ขอทานคนนั้นพูดว่า ท่านเศรษฐีเงินหนึ่งอีแปะนั้น ผมซื้อข้าวกินก็ยังไม่ได้จานหนึ่งเลย ! ท่านจะมาทวงคืนกลับไปเชียวหรือ ? ฉันก็เลยปลงใจยกให้เป็นทานไป ที่ประชุมรับฟัง มีบุญเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอีแปะ คิด ๆ ไปมันก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง ท่านเทพผู้เป็นประธานจึงพูดขึ้นมาว่า นี่เพียงมาแค่ประตู พวกเจ้าหน้าที่เมืองสวรรค์ยังร้อนถึงต้องประชุมกันเสียแล้ว ถ้าขืนให้อยู่คงจะได้เรื่องประชุมกันอีกแน่นอน อย่าอย่างนั้นเลย ! ทางสวรรค์ยอมคืนเงินหนึ่งอีแปะให้ท่านกลับไปก็แล้วกัน ! ตอนจะกลับ บังเอิญได้พบท่านยมบาลกำลังมีธุระที่เมืองสวรรค์ ได้พบกันตรงหน้าประตูพอดี ฉันจึงพูดว่า "โชคดีแล้วที่ได้พบท่าน ขอรบกวนถามสักหน่อยว่า ฉันนี้ต่อไปจะต้องตกนรกไหม ? ท่านยมบาลตอบว่า "อย่ารู้เลย รู้แล้วก็แก้ไม่ได้ มันสายไปเสียแล้ว" ฉันจึงพูดไปว่า "ไม่เป็นไร ! เพราะว่าฉันได้บวชเป็นพระมาแล้ว พอจะมีทางรอดได้" ฝ่ายทานยมบาลอุทาน หือ ! แล้วพูดว่า "เดี๋ยวก่อน! ท่านคิดว่าบวชเป็นพระแล้วจะรอดจากบัญชีนรกของผมไปหรือ ?" ผิดแน่ ! นักบวชอลัชชี นักพรต ฤาษี ชี ไพร กำมะลอที่เลวทรามนั้น ตายแล้วตกมาในเมืองผมมากที่สุด ที่ผมขึ้นมาเมืองสวรรค์ในวันนี้ก็เพื่อจะมาขออนุญาตกลับไปขยายห้องขังในนรกเอาไว้ต้อนรับพวกท่านดอกนะ ! ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เป็นเพราะว่า พวกท่านสมาทานศีลแล้ว เห็นเป็นของเล่น ๆ ไป ไม่ปฏิบัติตามศีลวินัยนั้น บางท่านก็เอาศาสนามาบังหน้าเพื่อสังคม หวังผลประโยชน์ทางอ้อม บางท่านอวดอุตริมนุสธรรม อวดคุณวิเศษ ที่ตนยังไม่มี ตั้งตัวเป็นคณาจารย์ผู้วิเศษเที่ยวตบตากลอกลวงข้าวของเงินทองได้มากพอแล้วก็ลาสึกออกไปมีลูกมีเมียกันเป็นแถว ๆ พวกนี้พอดับจิตขาดใจตายแล้ว ผมต้องเชิญมาคิดบัญชีหมดทุกราย พอหมดจากบัญชีเมืองนรกแล้ว ยังจะต้องไปเกิดเป็นวัว เป็นควายทำนาใช้หนี้ข้าวสุกของชาวบ้านเขา เพราะว่าข้าวสุกทุก ๆ เมล็ดที่เขาใส่บาตรลงไปนั้นไม่ใช่ของเล่น ๆ นา ! เขาได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ บางรายก็สะเดาะเคราะห์ล้างซวย บางรายก็ส่งให่ภูติผีปีศาจหรือเจ้ากรรมนายเวร บางรายหวังชาติหน้าไปเกิดเป็นเศรษฐี นี่แหละจิตที่เขาตั้งสัจ อฐิษฐานไว้แล้วนั้นมันยึดมั่นถือมั่น เป็นเสมือนบัญชีที่คอยติดตามทวงหนี้อยู่ตลอดทุกชาติภพนา ! ท่านก็บวชมาแล้วสมัยที่อยู่วัด สมภารหรืออุปัชฌาย์ ในเมืองมนุษย์ไม่เคยเอาพระคัมภีร์ออกมาเทศน์ให้ฟังบ้างหรือ? หลักฐานที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฏกที่ยังมีอยู่นั้น ได้กล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างถูกต้องดีทุกประการ เอ้า ! ไหน ๆ จะพูดกันแล้วก็เลยพูดเสียให้หมด ทางที่จะไม้ต้องตกนรกนั้นมีทางเดียว คือ มหาสติปัฏฐ่านสี่ และ มรรคมีองค์แปด พระอริยะเจ้าเท่านั้นที่ไม่ต้องเวียนว่ายกลับมายังเมืองนรกอีก นอกนั้นแล้วรู้จักกับผมหมด ต่อจากนั้นท่านยมบาลพร้อมทั้งประตูเมืองสวรรค์ก็หายวับไปทันที ฉันก็รู้สึกเจ็บระบมไปทั้งเนื้อทั้งตัวคอแห้งกระหายน้ำอย่างที่สุด ทั้งสองท่านเตรียมตัวจะเดินทางกันต่อไป พอเดินทางมาได้ 7 วันเสบียงอาหารที่เตรียมมาว่าพอดีกับระยะทาง ก็กินหมดไปเสียแล้ว เพราะมัวแต่หยุดพักรักษาพยาบาลท่านซิ้งทง เสียเวลาการเดินทางไปตั้ง 15 วัน ปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะหน้าว่า จะทำอย่างไรในกลางดง จะจับสัตว์กินก็ไม่ได้เพราะผิดศีล ในที่สุดก็ต้องอาศัยผลไม้เท่าที่จะมีในป่าพอจะช่วยประทังชีพให้เดินทางต่อไปได้ พอหลาย ๆวัน เข้าร่างกายผิดอาหาร ธาตุเกิดพิการท้องไส้เริ่มจะเสีย รู้สึกอ่อนเพลียมาก เดินทางได้ช้าลงทุก ๆ วัน เดินไปวันหยุดพักไปวัน ทั้งสามท่านหมดแรงไม่สามารถที่จะปีนขึ้นไปเก็บผลไม้บนต้นมากินเป็นอาหารได้ จึงต้องอาศัยตอนเช้าเฝ้าคอยฟังเสียง ชะนี ลิง ค่าง ที่ตรงไหนมีเสียงร้องมาก ๆ ก็เดินไปที่โคนต้นไม้นั้น เพื่อเก็บเศษผลไม้ที่มันกินเหลือตกหล่นลงมาตามแถว ๆ ใต้ร่มไม้ต่าง ๆ กินเป็นอาหารพอกันความตาย แล้ว ค่อย ๆ เดินกระเสือกกระสนไปจนถึงเมืองโซกาย พอเหยียบลานวัด ก็เห็นภิกษุวัยกลางคนองค์หนึ่ง กำลังสอนธรรมแก่เณร 3 รูป ดูกิริยาท่วงทีสุขุมนิ่มนวลมีรอยแย้ม อมแฝงอยู่ด้วยแสงเหลืองอร่าม สายตามองตรงทอดต่ำลงอยู่ในท่าสำรวมเผยให้ท่านทั้งสามแลเห็นแววตาที่แสดงถึงความแห้งจากกาม ลักษณะนี้ตามตำรา โหวงเฮ้ง เขากล่าวไว้ว่า เป็นบุคคลที่มีจิตว่างจากกิเลส พ้นจากกระแสแห่งความดึงดูดต่อสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้แล้ว ทั้งสามท่านเห็นแล้วก็ยังสงสัย มันจะใช่นายดอกบัวโง่ ของเราหรือเปล่าหนอ ? พอเดินเข้าไปใกล้อีกสักหน่อยมันก็ยังมีเค้ารูปเดิมอยู่เหมือนกัน ท่านตี้หุยกระซิบบอกว่า ใช่แน่ แล้วจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปนมัสการ แล้วพูดว่า "ท่านยังจำพวกผมทั้งสามนี้ได้ไหมครับ ? ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้ตักน้ำผ่าฟืนอยู่ด้วยกันนั้น" ท่านภิกษุดอกบัวพ้นน้ำ ยกมือขึ้นไหว้แล้วตอบว่า "ยังพอจำได้ ท่านอาจารย์ของเราที่วัดเมืองใต้ บัดนี้อยู่สบายดีหรือ ? ฉันจากมาเสียหลายปีไม่รู้ข่าวคราวทุกข์สุขของท่านเลย" ท่านซิ้งทง ตอบว่า ท่านอาจารย์เราชราลงไปมากแล้ว บัดนี้มอบให้ผู้ช่วยสอนธรรมแทน ท่านหลบพักผ่อนอยู่ในมุมสงบ.
(จบบทที่ 3)

บทที่ 4.

หลังจากพระมหาจักรพรรดินี พระพันปีหลวงบู๊เช็กเทียน และพระมหาจักรพรรดิ์ จงจุง ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาตามหลัก "นิกายเซ็น (สุญญตา)" แล้วพระองค์ท่านทรงเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง ได้ทรงแนะนำขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายท่านว่าควรไปศึกษาธรรมแบบ "นิกายเซ็น (สุญญตา)" ณ เมืองโซกายเพื่อจะได้นำเอามาปรับปรุงแก้ไขการปกครองบ้านเมือง ให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป ท่านพ่อ จวนจะใกล้เวลาดับขันธ์ปรินิพพานอยู่แล้ว มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็นจำนวนมากได้เดินทางมายังโซกาย เพื่อศึกษาธรรม โล้วใต้เม้ง ขุนนางผู้หนึ่งได้กราบเรียนท่านพ่อว่า กระผมได้ฟังธรรมที่ท่านพ่อสอนอยู่นี้แล้ว พอจะเข้าใจได้บ้างว่า เป็น "ปัญญาวิมุตติ" แต่กระผมเป็นนักปกครอง ยังมีความเป็นห่วงว่า ประชาชนอีกมากหลายเขาจะไม่สามารถนำเอาหลักธรรม ที่พระคุณเจ้าสอนไว้นี้ ไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตประจำวันทั่วไปได้ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดกรุณาสอนหลักธรรมที่ง่าย ๆ กว่านี้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองสืบไปด้วย ขอรับ ! พระคุณเจ้า ท่านพ่อ ได้พูดว่า " หลักธรรมะตามโพชณงค์เจ็ด" โล้วใต้เม้ง ได้เรียนถามต่อไปว่า "โพชฌงค์เจ็ด" นั้นมีความหมายอย่างไรครับ ? พระคุณเจ้า ท่านพ่อ ตอบว่า "ให้ไปถาม ท่านภิกษุดอกบัวพ้นน้ำ" หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน ท่านพ่อก็เรียกประชุมสานุศิษย์ กล่าวโศลกจบท่านก็นั่งสมาธิดับขันธ์ในฌานสมาบัติไป ท่านโล้วใต้เม้ง จึงไปเรียนถาม ท่านภิกษุดอกบัวพ้นน้ำ ว่า "โพชฌงค์เจ็ด" นั้น มีหลักธรรมและความหมายอย่างไร ? ท่านภิกษุดอกบัวพ้นน้ำ ตอบว่า "จงตั้งใจฟังฉันให้ดี ครั้งหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเราทรงพระประชวร แล้วมีผู้มาเอ่ยชื่อ ธรรมะโพชฌงค์เจ็ด เท่านั้น ท่านก็หายจากประชวรทันทีเหมือนปลิดทิ้ง ดีมากถึงเพียงนี้ ท่านจึงทรงมอบ โพชฌงค์เจ็ด ให้เป็นมรดกตกทองมาถึงพวกเราจนทุกวันนี้ คือ.- 1. การระลึกอย่างทั่วถึง ถึงข้อเท็จจริงของทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา 2. การเลือกเอาแต่สิ่งที่ตรงกับความต้องการจริง ๆ 3. การตั้งหน้าทำสิ่งนั้นด้วยความพากเพียร กล้าหาญอดทนไป 4. พอใจ อิ่มใจ อยู่ทุกขั้น ทุกตอน ที่กำลังกระทำอยู่ 5. งานนั้นเข้ารูป หรือลงรอย ในที่สุด 6. ระดมกำลังใจทั้งหมดอย่างแน่วแน่ เป็นขั้นสุดท้าย 7. รอได้ คอยได้ ด้วยความมั่นใจ จนมีผลออกมา พระพุทธเจ้าท่านเอง ท่านก็ประสบความสำเร็จในการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยอาศัยหลักธรรม โพชฌงค์เจ็ดนี้ ดังนี้แล้วทำไมหลักธรรมเหล่านี้จะทำความสำเร็จให้แก่การงาน อย่างพวกเราไม่ได้ด้วยหรือ ? เพราะมันง่ายหรือต่ำกว่ากันเป็นไหน ๆ เราพูดกันเสมอว่าจะทำอะไรก็ต้องทำให้สำเร็จเป็นมรรคเป็นผล จึงควรเข้าใจไว้เสียด้วยว่าโพชฌงค์เจ็ดอย่างนี้แหละ ! คือสิ่งที่จะทำให้เราทำอะไรได้สำเร็จอย่างเป็นมรรคเป็นผล เพราะฉะนั้นเราควรจะพิจารณากันดูว่าเป็นความจริงอย่างนั้น จริงหรือไม่? ข้อหนึ่ง เราไม่ค่อยจะระลึกถึงกันอย่างรอบคอบว่า อะไรเป็นอย่างไร และมีกี่อย่างแม้แต่ตัวเราเองก็แทบจะไม่รู้จักว่าเราสามารถอย่างไร บกพร่องทางไหน เกิดความขลาดขึ้นมาก็ต้องหันไปเชื่อโชคชะตา ซึ่งยังจัดว่าเป็นความประมาท แล้วเราจะทำอะไรได้สำเร็จ นี่เรียกว่า เราขาดธรรมข้อที่หนึ่ง ซึ่งเรียกว่า "สติโพชฌงค์" ข้อสอง เราไม่รู้จักเลือก ไม่สามารถเลือก ว่าสิ่งใดวิชาใดงานใด อาชีพอะไร เหมาะแก่เรา เราจึงมีอาการเหมือนคนนอนฝันหรือละเมอเสียมากว่า แม้ว่าเราเลือกได้ว่าสิ่งใดเหมาะสมแก่เราแล้ว เราก็ยังไม่รู้จักเลือกวิธีการ เลือกเวลาและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เหมาะสมแก่สิ่งนั้นอีกด้วย เป็นเพราะเราขาดการใคร่ครวญอย่างละเอียดถี่ถ้วนในการเลือกเฟ้น "วินิจ-วิจัย" เราเลยกลายเป็นผู้ทำผิดกาละเทศะเดินไม่ถูกทิศทางไป นี่เรียกว่าขาดธรรมข้อที่สอง คือ "วิจัยโพชฌงค์" ข้อสาม เราขาดความขยัน ขาดความจริงใจ ขาดการบังคับตัวเอง ขาดความอดกลั้นอดทน ขาดความกล้าหาญกันเป็นส่วนมาก พวกเรามีข้อแก้ตัวกันต่าง ๆ นานา ซึ่งทุกคนมีเหตุผลของตัวเองทั้งสิ้น หนัก ๆ เข้าก็กลายเป็นคนขี้เกียจ และเอาเปรียบผู้อื่น ไม่ทำอะไรจริงจังเป็นชิ้นเป็นอันตามที่วางแนวหรือมุ่งหมายไว้ เรียกว่าขาดธรรมข้อที่สา คือ "วิริยโพชฌงค์" ข้อสี่ เราเป็นคนที่ไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ไม่รู้สึกสนุกในการงานที่ทำ ไม่มีความอิ่มใจไปตามส่วนของงานที่ทำเสร็จไปทีละนิด ๆ เรามีความทะเยอทะยานเกินตัว ความหิวกระหายมากไป จนไม่ไยกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ รู้สึกแต่ว่าไม่ได้ผลอะไร หรือทันอกทันใจเสียเลย ความเพียร ความอดทนของเราก็ท้อถอยหรือหมดกำลังใจ ไม่ทำอะไรได้ยั่งยืน รู้สึกเหมือนตกนรกในขณะที่ทำงานนั้น เรียกว่าขาดธรรมข้อที่สี่ คือ "ปิติโพชฌงค์" ข้อห้า งานแม้ชิ้นเดียว ก็ยังมีสิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้องมากมายที่เราจะต้องปรับปรุงให้มันเข้ารูป เข้ารอย และทั้งปรับปรุงตัวเราเองตลอดเวลาด้วย ธรรมทุกข้อที่กล่าวมาแล้วก็ต้องมีส่วนเข้ารูปลงรอยกันจริง ๆด้วย นอกจากจะต้องทำให้ครบถ้วนแล้ว ยังต้องคอยปรับปรุงให้มันประสานเข้ารูปเข้ารอยกันดีด้วย ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เรียกว่ายังขาดธรรมข้อที่ห้า คือ "ปัสสัทธิโพชฌงค์" ข้อหก เราขาดสมาธิ คือ จิตไม่สะอาด ไม่ตั้งมั่น ไม่ว่องไวในการงาน จิตใจเรากลัดกลุ้ม เพราะความคิดที่ต่ำ ที่ชั่ว ไม่ทนทานต่อสิ่งยั่วยวน และยังซึมเซาห่อเหี่ยวท้อแท้เสียเป็นส่วนใหญ่ ความแน่วแน่ใจหรือการระดมกำลังใจ ถึงที่สุดจุดหมายจึงไม่มี หรือจะมีก็ไม่พอ จงทำใจให้สะอาด ให้ตั้ง ให้คล่องไวในการงาน มิฉะนั้นแล้ว งานล้มเหลวเพราะเราขาดธรรมข้อที่หก คือ "สมาธิโพชฌงค์" ข้อเจ็ด แม้ว่าเราจะได้จัดทำสิ่งต่าง ๆ ถูกต้องครบถ้วนประสานกันดีแล้ว ก็มิใช่ว่างานนั้นจะส่งผลคลอดออกมาทันที เราจะต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาที่แท้จริงของมัน จงทำไปโดยตลอดอย่ายึดมั่นถือมั่นว่าเป็น ตัวกู ว่าเป็น ของกู ให้มันมากเกินไปนักนี่เรียกว่าเรามีธรรมข้อที่เจ็ด คือ "อุเบกขาโพชฌงค์" นี่แหละ ! พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้พระราชทานดวงแก้ววิเศษไว้ให้พวกเรา 7 ดวง ผู้มองเห็นคุณค่าและผู้รู้จักนำไปใช้ ก็จะได้แก้วสารพัดนึกอยู่กับเนื้อกับตัวตลอดไป ขอจบการบรรยายเพียงเท่านี้ ท่านขุนนาง โล้วใต้เม้ง และที่ประชุม ได้เกิดความสว่างไสวในพุทธธรรม และปิติซาบซึ้งในการฟังธรรมเป็นอย่างสูง ท่านภิกษุ ซิ้งทง ตี้หุย และ ชอเจ็ง ได้พักศึกษาธรรมอยู่อีกปีเศษก็ หมดความสงสัย โลกุตรธรรม (สุญญตา) จึงได้ชักชวนท่านภิกษุดอกบัวพ้นน้ำ ออกจาริกเผยแผ่ธรรมเดินทางไปยังวองมุย (อึ้งบ๊วย) เพื่อจะได้นมัสการปูชนียวัตถุของพระสังฆปริณายกทุก ๆ พระองค์ ที่ได้เก็บรักษาไว้ ณ วัดวองมุย กันต่อไป ท่านขุนนาง โล้วใต้เม้ง พอได้ทราบข่าวว่า ท่านภิกษุดอกบัวพ้นน้ำ จะออกจาริกเผยแผ่ธรรมไปยังวองมุย (อึ้งบ๊วย) ท่านจึงขออนุโมทนาในมหากุศลเจตนาครั้งนี้ด้วย ท่านได้กราบเรียนว่า กระผมอีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับเมืองหลวงเหมือนกัน อายุสังขารของกระผมนี้ก็เริ่มเข้าสู่วัยชรามากแล้ว ต่อไปข้างหน้าคงจะไม่ได้มีบุญและโอกาส ได้ฟังธรรมของพระคุณเจ้าอีก ฉะนั้นกระผมขอกราบลา พระคุณเจ้า วันนี้เป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต ขอให้พระคุณเจ้าจงเจริญในหน้าที่โพธิสัตว์ธรรม จงสมตามความมุ่งหมายไว้จงทุกประการด้วยเทอญ สาธุ! การจาริกไปยังแดนต่าง ๆ ของภิกษุทั้ง 4 ท่าน ได้ถือคติพจน์เป็นอุดมคติในชีวิตประจำวันไว้ 12 ข้อ

1. ให้พิจารณาว่าของนี้ได้มาอย่างไร ? เหมาะสมแก่หน้าที่หรือไม่ ?
2. เมื่อรับไว้แล้ ความดีจะเสียไปหรือไม่ ?
3. ถ้ารับไว้ ความชั่วจะมาสู่ตัวหรือไม่ ?
4. ของนี้ ถ้าบริโภคแล้ว จะเกิดประโยชน์แก่ร่างกายหรือไม่ ?
5. เมื่อบริโภคแล้ว จะเกิดปัญญาหรือไม่ ?
6. อย่า ได้สะสมเอามาเป็นสมบัติส่วนตัว
7. อย่า เอามาผูกพันไว้ในจิตใจตน
8. อย่า เอามาปรุงแต่งเพื่อประดับเกียรติยศของตน
9. อย่า นิยมของคู่ "จงนิยมแต่ความเป็นหนึ่งแต่อย่างเดียว"
10. สัญญาที่ผ่านมา ให้ผ่านไปโดยเร็วที่สุด
11. จงสำรวจแต่ตัวเราเอง อย่าไปเที่ยวค้นหาความผิดของผู้อื่น
12. จนแล้วอาย ไม่ใช่เซ็น (ฌาน)

(จบบทที่ 4)

กลับสู่หน้าแรก

ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น เล่มที่ 1 บทที่ 1-2

ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น เล่มที่ 2 บทที่ 1

Link to Mahayana

Sign My Guestbook

Mail me

CopyRight ©